งานดนตรี ของ เจสส์ กลินน์

อิทธิพล

เอมี ไวน์เฮาส์ (ซ้าย) และ แฟรงก์ โอเชียน (ขวา) เป็นแรงบันดาลใจหลักผลักดันให้กลินน์เป็นศิลปิน

ในวัยเยาว์กลินน์ได้รับอิทธิพลของดนตรีตอนเธออายุประมาณ 10 ปี หลังจากพ่อของเธอเปิดเพลงจากอัลบั้มของอีวา แคสซิดี ซองเบิร์ด ซึ่งเธอรู้สึกสัมผัสถึงอารมณ์ของเพลงได้[55] เธอจึงหลงรักในดนตรีเป็นอย่างมาก โดยเฉาะเพลงของมารายห์ แครี วิตนีย์ ฮิวสตัน และอารีธา แฟรงคลิน โดยเพลง "ฮีโร" ของแครีนั้น เป็นแรงผลักดันให้เธอร้องเพลงนี้ในการแสดงความสามารถครั้งแรกที่โรงเรียนมัธยมศึกษาของเธอ นอกจากนี้เธอยังชื่นชอบผลงานของทิมบาแลนด์และจัสติน ทิมเบอร์เลกด้วย[1][55][56] กลินน์ตัดสินใจทำงานอาชีพดนตรี เพราะเธอได้รับแรงบันดาลใจหลักมาจากเอมี ไวน์เฮาส์ หลังจากฟังอัลบั้ม แฟรงก์ กลินน์กล่าวว่า "พวกเราเหมือนพี่น้องกัน [มีเชื้อสายยิวเหมือนกัน] ถ้าเธอ [ไวน์เฮาส์] ทำงานดนตรีได้ ฉันก็ทำได้ เธอคือต้นแบบของการทำด้วยตัวเอง"[55] หลังจากกลินน์เป็นศิลปินแล้ว เธอก็ได้รับแรงผลักดันในการเริ่มเขียนเพลงจากอิทธิพลจากอัลบั้ม เดอะมิสเซดูเคชันออฟลอรีนฮิลล์ ของลอรีน ฮิลล์[8] กลินน์ยังยกย่องแฟรงก์ โอเชียน เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจหลักในการทำงาน โดยเธอให้เหตุผลว่าโอเชียนมีแนวทางการทำเพลงให้ออกมามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว[55] โดยเพลงของโอเชียนเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจร่วมกับเพลงของพรินซ์และเมวิส สเตเปิลส์ ระหว่างกลินน์ทำอัลบั้ม ไอครายเวนไอลาฟ[56]

กลินน์กล่าวถึงแซม คุก, เดสทินีส์ไชลด์, มารายห์ แครี, วิตนีย์ ฮิวสตัน, อารีธา แฟรงคลิน และเอตตา เจมส์ ว่าเป็นแรงบันดาลใจในรูปแบบการร้องเพลงของเธอ เช่นเดียวกับ เคนดริก ลามาร์, เจย์-ซี, แฟรงก์ โอเชียน และเอ็มมิเน็ม ในรูปแบบการแร็ป[2] กลินน์ยังมีศิลปินคนอื่น ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เธอ ได้แก่ บียอนเซ่ แมรี เจ. ไบลจ์ และอินเดีย อารี[57][58][59]

แนวดนตรีและรูปแบบเพลง

แนวเพลงของกลินน์เป็นแนวเฮาส์ ผสมกับแนวคลาสสิกและการร้องแบบโซลเป็นแนว "เฮาส์เปี่ยมพลัง" (powerhouse) อย่างในเพลง "มายเลิฟ" และ "แรเทอร์บี" ต่างจากอัลบั้ม ไอครายเวนไอลาฟ ที่ผสมแนวอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ อาร์แอนด์บี และกอสเปล ซึ่งแอนดี กิลล์ จากหนังสือพิมพ์ดิอินดีเพ็นเดนต์ นับถือ "กระบวนการสร้างและแนวเพลง" (regards both methods and themes)[60] แต่เฮเซล คิลส์ จากนิตยสารสปิน ให้ความเห็นว่า "เป็นผลงานที่ไม่ใช่แนวของเธอ" (songs that aren’t even hers)[61] เนื้อหาในอัลบั้มเกี่ยวกับการคิดบวกกับตัวเอง และเปลี่ยนจากความเสียใจให้เป็นความหวัง ตรงตามจุดประสงค์ของกลินน์ที่ต้องการให้อัลบั้มแสดงออกมาในเชิงบวก[62] มอรา จอห์นสัน จากหนังสือพิมพ์เดอะบอสตันโกลบ กล่าวว่า "เสียงร้องแสดงถึงความน่าเกรงขาม" (formidable pipes) ถึงแม้ว่า "เนื้อเพลงแสดงถึงความปวดร้าว" ก็ตาม (a lyric with vulnerability)[63] องค์ประกอบส่วนใหญ่ในอัลบั้มประกอบไปด้วยโน๊ตที่เล่นวนไปมา แทมโบรีน เสียงปรมมือ และเสียงพื้นหลังที่ร้องระหว่าง "โอ้" และ "อาเมน"[61]

กลินน์มีช่วงเสียงร้องต่ำแบบคอนทราลโต หลายนักวิจารณ์มีความเห็นตรงกันว่าเสียงของเธอนั้นมีทั้งความหนักแน่น ทรงพลัง และอ่อนโยน[62][63][64] นิตยสารโรลลิงสโตน ระบุว่า เสียงของกลินน์สามารถแสดงได้ "ทุกช่วงอารมณ์" (emotional gamut)[62] เสียงร้องของเธอจึงถูกเปรียบเทียบกับเอมี ไวน์เฮาส์และเทย์เลอร์ เดย์น[5][7] นิตยสารบิลบอร์ดให้คำวิจารณ์เชิงบวกสำหรับการแสดงสดในไอครายเวนไอลาฟทัวร์ โดยเปรียบเป็น "ยาวิเศษแสนไพเราะเหมาะแก่แก้วหู" (a downright delightful eardrum elixir) และชื่นชมทั้งเทคนิคเสียงแหบและหนักแน่น[65]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เจสส์ กลินน์ http://www.vmusic.com.au/interviews/interview-jess... http://www.allmusic.com/album/annie-mac-presents-2... http://www.allmusic.com/artist/jess-glynne-mn00031... http://aramajapan.com/news/nominees-announced-for-... http://www.ascap.com/news-events/awards/2016/londo... http://www.axs.com/news/interview-jess-glynne-s-i-... http://www.bbc.com/news/entertainment-arts-3633015... http://www.billboard.com/articles/columns/chart-be... http://www.billboard.com/articles/columns/chart-be... http://www.billboard.com/articles/columns/music-fe...